คันดี้ ชี้ ซาลาห์, มาเน่ ยังดีกว่า เดอ บรอยน์

คันดี้ ชี้ ซาลาห์, มาเน่ ยังดีกว่า เดอ บรอยน์

เจสัน คันดี้ อดีตกองหลังของทีมเชลซี เชื่อว่าดูโอ้ของทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล อย่าง โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่ นั้นมีฤดูกาลที่ดีกว่า เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เกมเกอร์ของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้

สตาร์ทีมชาติเบลเยี่ยม นั้นโชว์ฟอร์มน่าประทับใจกับ 4 ประตู ในการบุกไปถล่ม วูลฟ์ ด้วยสกอร์ 5-1 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทำให้ในฤดูกาลนี้เขาทำ 15 ประตู จากการลงสนาม 28 เกม

ในขณะเดียวกันที่ ซาดิโอ มาเน่ ลงสนาม 33 เกม ในฤดูกาลนี้มี 15 ประตูกับอีก 2 แอสซิส และ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ นั้นมี 22 ประตู จากการลงสนราม 34 เกมในลีกและมีอีกถึง 13 แอสซิส “ผมคิดเว่าฟอร์มของ เควิน เดอ บรอยน์ ดร็อปไปตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา” เจสัน คันดี้ กล่าวกับ talkSPORT.

“ถ้าหากคุณมองย้อนกลับไปที่ เดอ บรอยน์ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา มันเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของเขา ผมคิดว่าเขากำลังกลับไปอยู่ในฟอร์มนั้นเมื่อวันพุธ แต่ว่าเขาต้องทำอะไรมากกว่านี้ เควิน เดอ บรอยน์ ควรได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีหรือไม่? ผมไม่คิดว่าเขาคือท็อป 3 ด้วยซ้ำ”

เดอ บรอยน์ รับ ซิตี้ ไม่พร้อมเล่นในฤดูกาลนี้

เดอ บรอยน์ รับ ซิตี้ ไม่พร้อมเล่นในฤดูกาลนี้

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ได้ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 2008-09 ก่อนที่ตอนนี้ ทุกอย่างจะเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้งแล้ว

เควิน เดอ บรอยน์ เชื่อว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้นเริ่มต้นฤดูกาล 2020-21 ด้วยความไม่พร้อม จนทำให้เกิดปัญหาอย่างชัดเจนในช่วงแรกของฤดูกาลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลงเล่นไป 8 เกม แต่เก็บได้เพียงแค่ 12 แต้มเท่านั้น ซึ่งเป็นผลงานที่ย่ำแย่อย่างมาก

“ผมคิดว่าในช่วงต้นของฤดูกาล เราเจอปัญหามากมาย เรามีนักเตะบาดเจ็บหลายคน แถมยังไม่มีช่วงพรีซีซั่น อีกต่างหาก หลายๆอย่างมันไม่พร้อมสำหรับเราจริงๆ ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ” เดอ บรอยน์ กล่าว

“แต่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราได้นักเตะกลับมาอีกครั้ง และกลับมาท็อปฟอร์มได้ทั้งหมด มันเลยทำให้เรากลับมาคว้าชัยชนะได้อย่างมากมาย และกลับมาลุ้นแชมป์ได้อีกครั้ง เส้นทางมันยังคงอีกไกล และมันยังมีเกมที่ยากมากๆอีกหลายเกม ซึ่งตอนนี้ผมเชื่อว่าพวกเรากลับมาพร้อมรับมือกับทุกอย่างแล้วอีกครั้ง”

3 เหตุผลที่ “เควิน เดอ บรอยน์” ควรค่าแก่รางวัลนักเตะยอดเยี่ยม PFA

เควิน เดอ บรอยน์ กับรางวัล PFA

ด้วยการแข่งขันในพรีเมียร์ลีกตอนนี้ มันเหลืออีกเพียง 12 เกมเท่านั้น พรีเมียร์ลีกฤดูกาลปัจจุบัน 2019-20 ที่แฟนบอลอย่างเราๆติดตามกันมาตลอด ก็กำลังใกล้จะเข้าไปถึงจุดจบของฤดูกาลนี้แล้ว โดยที่ฤดูกาลนี้มันก็คืออีก 1 ฤดูกาลที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ทั้งการแสดงผลงานที่แสนจะโดดเด่นของ ลิเวอร์พูล พวกเขาเป็นทีมที่กำลังมีลุ้นมากที่สุดในการจะได้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองในรอบ 30 ปีเลยทีเดียว พวกเขาทิ้งห่างรองจ่าฝูงไปไกลโขแล้วด้วย และอย่างไรก็ตามในช่วงท้ายฤดูการแข่งขัน 2019-20 มันก็ไม่ใช่แค่ว่าเราจะทราบว่า ทีมไหนจะได้ตำแหน่งแชมป์ลีกไปครอง เพราะมันจะมีการตัดสินคะแนนด้วยว่า ผู้เล่นคนไหนจะได้รับรางวัลส่วนบุคคลมากมายอาทิ รองเท้าทองคำ, ถุงมือทองคำ, ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA และ ผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี รวมถึงรางวัล เพลย์เมกเกอร์ยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล ใครจะเป็นฝ่ายได้มันไปนอนกอดกันละ ?

เมื่อพูดถึงรางวัลส่วนบุคคลพวกนี้ มันคงไม่มีรางวัลใดจะมีค่าเท่ากับรางวัล “นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA“ เพราะเนื่องจากความจริงที่ว่า นักเตะที่จะได้รับรางวัลนี้ จะต้องได้รับการโหวตจากนักฟุตบอลอาชีพด้วยกัน (เท่ากับว่าได้รับการยอมรับ) มันทำให้พวกเขากลายเป็นนักเตะพิเศษของจริงที่สามารถคว้ารางวัลดังกล่าวมาครองได้ รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA เป็นรางวัลที่เริ่มมีการมอบให้นักเตะทุกปีมาตั้งแต่ปี 1974 แล้ว โดยเหล่านักเตะที่ยิ่งใหญ่มากมายหลายต่อหลายคนที่เคยมาเล่นในพรีเมียร์ลีกต่างก็เคยสัมผัสกับมันมาแล้ว ทั้งตัวของ เอเดน อาซาร์ , เธียร์รี อองรี, เวย์น รูนีย์ , คริสเตียโน โรนัลโด้ และรวมถึง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ทุกฤดูกาลจะมีผู้ท้าชิงรางวัลนี้กันมากมาย และฤดูกาลนี้ก็จะเป็นอีก 1 ฤดูกาลที่มีนักเตะชั้นนำมากมายจ่อที่จะคว้ามันไปครอง

อย่างไรก็ตาม ยอดนักเตะรายหนึ่งที่สมควรได้รับมันไปครองมากกว่าใครเลยก็คือ เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์ชาวเบลเยียมที่พลาดมันมาแล้วถึง 2 ฤดูกาล ทั้งๆที่เขาสร้างผลงานที่ดีมาตลอด และหนนี้มันควรจะเป็นทีของเขาบ้างแล้ว ในขณะที่นักเตะชื่อดังรายอื่นๆอย่าง ซาดิโอ มาเน, เจมี วาร์ดี้ และจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็สมควรได้รับเช่นกัน ว่าแต่ทำไมตัวของ เดอ บรอยน์ ถึงควรค่าแก่การจะได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้มากที่สุดกันล่ะ เราจะต้องมาลองวิเคราะห์กันหน่อยแล้ว

เขาเป็นผู้เล่นที่มีผลงานสม่ำเสมอมากที่สุดในการเล่นตลอดทั้งฤดูกาล

ความจริงที่ว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีผลงานที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในช่วงฤดูกาลนี้ การจะป้องกันตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกของพวกเขาดูเหมือนกับว่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว พวกเขาพลาดไปหลายเกมจนแทบที่จะไม่มีลุ้นในพรีเมียร์ลีกแล้ว และตอนนี้พวกเขาเพิ่งจะได้ถ้วยแชมป์ คาราบาว คัพ ไปครองแค่ถ้วยเดียวเท่านั้น และถ้าหากว่าพวกเขาไม่สามารถเพิ่มถ้วยแชมป์อย่าง แชมเปี้ยนส์ลีก และถ้วย เอฟเอ คัพ ในฤดูกาลนี้เข้ามาเพิ่มได้ล่ะก็ มันคงจะเป็นฤดูกาลที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรเลยทีเดียว

และมีผู้เล่นของทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีผลงานการเล่นที่แสนจะสม่ำเสมอ และยังถือว่าเป็นนักเตะที่ไม่เคยมีผลงานที่ตกไป สามารถแบกทีมได้ และในบรรดาแข้งนักเตะซิตี้ คนที่อยู่ในข่ายนี้อย่างแน่นอนก็คือ เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพพระเอกรายนี้นั่นเอง กองกลางตัวรุกวัย 28 ปีเริ่มต้นการเล่นในฤดูกาลนี้ของเขาด้วยการทำไป 5 แอสซิสต์และยิง 1 ประตูจากการแข่งขันพรีเมียร์ลีก 4 นัดแรกเท่านั้น และจากนั้นเมื่อฟอร์มเจ้าตัวเริ่มเข้าที่มากกว่าเดิม เขาก็ค่อยๆร่ายฟอร์มการเล่นดุจเทวดาออกมาเรื่อยๆจนกลายเป็นจอมทำแอสซิสต์ที่เหนือกว่าใครในทีม

เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาตลอด ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมของเขาเองก็มีความสุขกับการที่พวกเขาสามารถมีลุ้นในการทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำจากการจ่ายบอลของเพลย์เมกเกอร์รายนี้ มิดฟิลด์ตัวรุกทีมชาติเบลเยียม เป็นผู้เล่น “เอาท์ฟิลด์” ที่ได้รับการประคบประงมจาก เป๊ป กวาดิโอลาร์ เทรนเนอร์ชาวคาตาลันเป็นอย่างมาก เพราะในสายตาของ เป๊ป ตัวของมิดฟิลด์รายนี้คือเสาหลักในเกมรุก โดยที่เป๊ปสร้างทีมชุดนี้ขึ้นมาโดยที่มี เดอ บรอยน์ เป็นศูนย์กลางของทีมโดยเฉพาะนั่นเอง

มิดฟิลด์รายนี้ ย้ายจาก โวล์ฟบวร์ก มาเล่นกับทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2016 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ เป๊ป ย้ายจากบาเยิร์น มิวนิค มาทำทีมเช่นกัน และทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างก็คุ้นเคยกันมาตั้งแต่มีโอกาสประฝีมือกันในเวทีบุนเดสลีกามาแล้วเช่นกัน กล่าวกันว่าถ้าหากตัวของ เดอ บรอยน์ ไม่มาเจอกับอาการบาดเจ็บไปในบางช่วงล่ะก็ ผลงานของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มันอาจจะออกมาดีกว่านี้ได้เช่นกัน ถ้าหากหยิบเอาความสม่ำเสมอในการเล่นที่ออกมามีผลงานที่ดีแบบนี้มาวัดกันล่ะก็ เดอ บรอยน์ มีโอกาสมากเช่นกันที่จะคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีไปครองในช่วงหลังจบซีซั่น

แอสซิสพุ่งตลอดเวลา

การแสดงผลงานของเขาในฤดูกาลนี้มันไปไกลกว่า “ระดับโลก” แล้ว

ด้วยการทำแอสซิสต์ถึง 16 ครั้งของเขา มันเลยประกันได้เลยว่าอย่างน้อยๆ เดอ บรอยน์ จะได้รับรางวัล เพลย์เมกเกอร์ยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลไปครองเป็นครั้งที่สองในรอบสามปี และก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะทำการกวาดรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีไปครองได้อีก ถ้าหากว่าเขายังไม่หยุดโชว์ฟอร์มโหดแบบนี้ แม้ว่าเขาอาจจะไม่ได้เป็นนักเตะที่ในสายตาของนักข่าวหรือนักวิจารณ์จะมองว่าเขาเป็นคนที่น่าเกรงขามเหมือนกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆของเขาที่จี๊ดจ๊าด ลูกเล่นแพรวพราว มีพลังในการทำประตู และยังใช้ชีวิตนอกสนามดูมีสีสันมากกว่าตัวของเขา แต่ก็ไม่สามารถเถียงได้เช่นกันว่าจอมทัพชาวเบลเยียมเป็นเพลย์เมกเกอร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกลูกหนังในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่อาจจะเป็นเพราะ คาแรคเตอร์ของจอมทัพรายนี้ที่เป็นคนนิ่งๆ ขรึมๆ ไม่ค่อยพูดนั่นเองที่ทำให้ตัวของเขาดูจะไม่ค่อยตกเป็นเป้าสนใจมากเท่าที่ควร

อันที่จริงถ้ามองดูสถิติของเขาเฉพาะในเรื่องการจังหวะให้เพื่อนทำประตูในลีก เขายังทำได้มากกว่า ลิโอเนล เมสซี่ จอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ของบาร์เซโลนาอีกด้วย โดยสถิติของเขาเริ่มเก็บมาตั้งแต่ระหว่างปี 2013 จนถึงปี 2018 มันแสดงให้เห็นถึงความสามารถของเขา และควรยกย่องฝีเท้าของมิดฟิลด์ตัวรุกรายนี้มากขึ้นจริงๆ สไตล์การเล่นของเพื่อนร่วมทีมที่พร้อมจะเล่นเกมรุก พร้อมจะทำประตู แถมพวกเขายังอยู่รอบตัวของ เดอ บรอยน์ ตลอดเช่นกัน มันทำให้เขามีความคิดที่สร้างสรรค์มากขึ้นว่าสมควรจะผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมคนไหน ถึงจะมีความหมายที่สุดนั่นเอง กองกลางแบบ เดอ บรอยน์ คือกองกลางที่สมบูรณ์แบบที่สุด และเป็นความฝันของโค้ชหลายคนที่จะมีเขาอยู่ในทีม

แม้ว่าเขาจะมีพลาดในการลงสนามไปบ้างในช่วงกลางฤดูกาลที่ผ่านมา เพราะเนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บที่เอ็นข้อเท้าของเขา แต่ว่าเจ้าตัวก็รีบเร่งความฟิตจนทำให้เพลย์เมกเกอร์รายนี้กลับมาอยู่ในฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดอีกครั้งในฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดันมีผลงานที่ตกต่ำไปในช่วงฤดูกาลนี้เพราะมีหลายนัดที่ตัวของเขาลงไม่ได้ แต่ก็ยังดีที่ว่าพอเจ้าตัวค่อยๆเรียกความฟิตกลับมาได้ เขาก็ช่วยทีมได้ในหลายครั้ง เขาเกือบทำลายอาร์เซนอลทั้งทีมได้ด้วยตัวเขาเองคนเดียว เพราะชัยชนะ 3-0 ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมานั้น เขาจัดการทำคนเดียว 2 ประตูและอีก 1 แอสซิสต์ตั้งแต่ใน 40 นาทีแรก และเกือบจะทำแฮททริกได้ด้วย แต่เขาดันยิงไปติดเซฟของ แบรนด์ เลโน มือกาวของอาร์เซนอล

เขาเล่นได้อย่างโดดเด่นในเกมที่เอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสกอร์ 4-0 ในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา และการแสดงผลงานของเขามันก็ทำให้เขาได้รับคำชมจากผู้เชี่ยวชาญด้านฟุตบอล และรวมถึงแฟนบอลด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากปากของ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ที่เรียกเขาว่าเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดในโลก และยังเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกด้วย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยทีเดียว เมื่อเราดูสถิติทางตัวเลขของเขา ด้วยสถิติการทำแอสซิสต์ 16 ครั้งของเขา ทำให้เขารั้งตำแหน่งนักเตะที่เปิดบอลให้เพื่อนยิงได้มากที่ที่สุด และตอนนี้ก็เหลืออีก 11 นัดเท่านั้นที่ลีกจะจบฤดูกาล เขาอาจจะมีลุ้นทำลายสถิติแอสซิสต์ 20 ครั้งในฤดูกาลเดียวของ เธียร์รี่ อองรี ลงได้เช่นกัน

ถึงเวลาที่ผู้เล่นของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะได้รางวัลทรงเกียรตินี้บ้างแล้ว!

ในทศวรรษที่ผ่านมาไม่มีสโมสรแห่งไหนอีกแล้วที่จะสร้างปรากฏการณ์ที่โดดเด่นในพรีเมียร์ลีกได้เท่ากับทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะแค่เรื่องความสำเร็จทั้งหมดของพวกเขาที่มีแชมป์มากมายก็นับว่ามากกว่าชาวบ้านชาวช่องแล้ว นับตั้งแต่วันที่ เซร์คิโอ อเกวโร ทำประตูชัยที่น่าทึ่งในปี 2012 ส่งผลให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2011-12 ไปครองนั้น มันทำให้พวกเขาเติบโตมากขึ้น มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ในช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมา หรือถ้านับเป็นจำนวนเลข 2 หลักก็คือในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้นั้น พวกเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้มากกว่าใครเลยคือ 4 ครั้ง ยิ่งในฤดูกาล 2018-19 ที่พวกเขากวาดแชมป์ทั้งหมดทุกรายการในเกาะอังกฤษได้ทั้งหมด มันก็สมควรแล้วที่พวกเขาจะได้รับการยกย่อง

ในเมื่อทีมเด่นขนาดนี้ แล้วนักเตะที่เด่นอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ ถ้าเขาจะพลาดรายการนี้มันก็คงจะใจร้ายเกินไป !

เดอ บรอยน์ คือนักเตะที่อยู่ในระดับเดียวกับ โรนัลโด้, เมสซี่, เอ็มบั๊ปเป้

เดอ บรอยน์ คือนักเตะที่อยู่ในระดับเดียวกับ โรนัลโด้, เมสซี่, เอ็มบั๊ปเป้

แจ็ค กรีลิช กองกลางตัวเก่งของแอสตัน วิลล่า ออกมากล่าวยกย่อง เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยเชื่อว่า นักเตะสามารถทำได้ทุกอย่าง และควรจะได้รับการยกย่องให้อยู่ในระดับเดียวกับ ลีโอเนล เมสซี่, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และคิลิยัน เอ็มบั๊ปเป้

กรีลิชเป็นหนึ่งในนักเตะที่โชว์ฟอร์มกับวิลล่าออกมาได้อย่างโดดเด่นในฤดูกาลนี้ แม้ทีมจะต้องลุ้นหนีตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก โดยเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่ต้องการคว้าตัวไปยังโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และคาดว่านักเตะมีโอกาสสูงที่จะได้ย้ายออกจากวิลล่า พาร์ค ในช่วงซัมเมอร์

แต่อย่างไรก็ตาม กรีลิช ได้ออกมากล่าวชื่นชมเดอ บรอยน์ ถึงการเป็นส่วนหนึ่งของเกมการแข่งขัน และมีศักยภาพที่จะทำทุกอย่างในสนามให้ออกมายอดเยี่ยม และดาวเตะชาวอังกฤษเลือกเดอ บรอยน์ เป็นไอดอลของเขา

กรีลิช กล่าวว่า “เดอ บรอยน์! ผมรักเขา ผมคิดว่าเขาเป็นนักเตะที่น่าเหลือเชื่อ และผมพยายามทำเกมของผมให้ได้เหมือนกับเขา โดยเฉพาะเมื่อตอนที่เขาลงเล่นในตำแหน่งหมายเลข 8 ผมคิดว่า เดอ บรอยน์มีทุกอย่างเพียบพร้อม เขามีสิ่งต่างๆ มากมายในตัวเขา แต่เขาไม่ได้รับเครดิตอย่างเพียงพอ เขาเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก และเขาขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับลีโอเนล เมสซี่, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และคิลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ในเวลานี้”

กรีลิชยังกล่าวถึงความมุ่งมั่นในการกลับมาแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019-20 อีกครั้ง หลังถูกหยุดมาตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในขณะที่พรีเมียร์ลีกตั้งเป้าที่จะกลับมาแข่งขันอีกครั้งในวันที่ 17 มิถุนายน และดาวเตะวัย 24 ปี กล่าวว่า “ผมคิดว่า ทุกคนกำลังเฝ้ามองเกมเหล่านั้นทางโทรทัศน์ และผมรู้สึกว่า มันเป็นแรงกระตุ้นสำหรับผม มันเป็นเกมใหญ่ที่ทุกคนเฝ้ารอ”

“พวกเรายังมีอีก 10 เกมที่สำคัญมากๆ และผมคิดว่า เกมแรกมันสำคัญมาก ถ้าสุดท้ายพวกเราชนะได้ มันจะทำให้พวกเรากระโดดออกจากโซนตกชั้นได้ ทุกคนรู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก แต่พวกเรามีความมั่นใจ และพวกเราจะกลับมาได้แน่นอน เมื่อพวกเรากลับมาฟิตแบบเดิม”

“ผมไม่ได้ต้องการพูดถึงใครในทิศทางที่ไม่ดี ผมยอมรับว่า มันเป็นความกดดันสำหรับตัวผม ผมรักความเป็นจริง กับการเป็นกัปตันทีมของสโมสร พวกเราต้องการประสบความสำเร็จกับเป้าหมายของพวกเราในฤดูกาลนี้ พวกเราต้องต่อสู้กับไวรัส พวกเราทุกคนต้องช่วยกัน สำหรับการต่อสู้กับทุกๆ อย่างที่พวกเราต้องเผชิญ”