ไดซ์ พอใจ ได้เห็นทีมใหญ่เจอปัญหาเหมือนกัน

ไดซ์ พอใจ ได้เห็นทีมใหญ่เจอปัญหาเหมือนกัน

ฌอน ไดซ์ ผู้จัดการทีมเสียงแหบเสียงแห้งของทีม เบิร์นลีย์ ยอมรับว่าเขามีความพอใจเล็กน้อยที่ให้เห็นทีมใหญ่ก็เจอปัญหาเช่นเดียวกัน ในขณะที่ทีมของเขาเตรียมเปิดบ้านรับการมาเยือนของ เอฟเวอร์ตัน ที่เพิ่งแพ้ 4 จาก 5 เกมหลังสุด

เอฟเวอร์ตัน ใช้เงินมหาศาลในตลาดนักเตะซัมเมอร์ที่ผ่านมาและออกสตาร์ทฤดูกาล 5 เกมแรกด้วยการเป็นจ่าฝูง แต่หลังยันเสมอกับ ลิเวอร์พูล ด้วยสกอร์ 2-2 พวกเขาเก็บได้แค่เพียง 3 คะแนน เท่านั้น จากความเป็นไปได้ 15 คะแนน จาก 5 เกม

“พวกเขาเป็นทีมที่มีผู้จัดการทีมที่มีประสบการณ์และมีกลุ่มนักเตะที่ยอดเยี่ยมมากๆ” ฌอน ไดซ์ กล่าว

“มันแสดงให้เห็นถึงความแกร่งของพรีเมียร์ลีกและคุณไม่มีทางคาดเกาอะไรได้เลยในพรีเมียร์ลีก พวกเขาเคยมีผลการแข่งขันที่ดีหลายเกมและหลังจากนั้นพวกเขาเจอกับผลการแข่งขันที่เลวร้ายหลายต่อหลายเกม นี่คือความจริงของพรีเมียร์ลีกและมีนพอใจแปลกๆที่ได้เห็นทีมใหญ่ที่พร้อมด้วยทรัพยากรเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆทีม”

3 เหตุผลที่ “เควิน เดอ บรอยน์” ควรค่าแก่รางวัลนักเตะยอดเยี่ยม PFA

เควิน เดอ บรอยน์ กับรางวัล PFA

ด้วยการแข่งขันในพรีเมียร์ลีกตอนนี้ มันเหลืออีกเพียง 12 เกมเท่านั้น พรีเมียร์ลีกฤดูกาลปัจจุบัน 2019-20 ที่แฟนบอลอย่างเราๆติดตามกันมาตลอด ก็กำลังใกล้จะเข้าไปถึงจุดจบของฤดูกาลนี้แล้ว โดยที่ฤดูกาลนี้มันก็คืออีก 1 ฤดูกาลที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ทั้งการแสดงผลงานที่แสนจะโดดเด่นของ ลิเวอร์พูล พวกเขาเป็นทีมที่กำลังมีลุ้นมากที่สุดในการจะได้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองในรอบ 30 ปีเลยทีเดียว พวกเขาทิ้งห่างรองจ่าฝูงไปไกลโขแล้วด้วย และอย่างไรก็ตามในช่วงท้ายฤดูการแข่งขัน 2019-20 มันก็ไม่ใช่แค่ว่าเราจะทราบว่า ทีมไหนจะได้ตำแหน่งแชมป์ลีกไปครอง เพราะมันจะมีการตัดสินคะแนนด้วยว่า ผู้เล่นคนไหนจะได้รับรางวัลส่วนบุคคลมากมายอาทิ รองเท้าทองคำ, ถุงมือทองคำ, ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA และ ผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี รวมถึงรางวัล เพลย์เมกเกอร์ยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล ใครจะเป็นฝ่ายได้มันไปนอนกอดกันละ ?

เมื่อพูดถึงรางวัลส่วนบุคคลพวกนี้ มันคงไม่มีรางวัลใดจะมีค่าเท่ากับรางวัล “นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA“ เพราะเนื่องจากความจริงที่ว่า นักเตะที่จะได้รับรางวัลนี้ จะต้องได้รับการโหวตจากนักฟุตบอลอาชีพด้วยกัน (เท่ากับว่าได้รับการยอมรับ) มันทำให้พวกเขากลายเป็นนักเตะพิเศษของจริงที่สามารถคว้ารางวัลดังกล่าวมาครองได้ รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA เป็นรางวัลที่เริ่มมีการมอบให้นักเตะทุกปีมาตั้งแต่ปี 1974 แล้ว โดยเหล่านักเตะที่ยิ่งใหญ่มากมายหลายต่อหลายคนที่เคยมาเล่นในพรีเมียร์ลีกต่างก็เคยสัมผัสกับมันมาแล้ว ทั้งตัวของ เอเดน อาซาร์ , เธียร์รี อองรี, เวย์น รูนีย์ , คริสเตียโน โรนัลโด้ และรวมถึง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ทุกฤดูกาลจะมีผู้ท้าชิงรางวัลนี้กันมากมาย และฤดูกาลนี้ก็จะเป็นอีก 1 ฤดูกาลที่มีนักเตะชั้นนำมากมายจ่อที่จะคว้ามันไปครอง

อย่างไรก็ตาม ยอดนักเตะรายหนึ่งที่สมควรได้รับมันไปครองมากกว่าใครเลยก็คือ เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์ชาวเบลเยียมที่พลาดมันมาแล้วถึง 2 ฤดูกาล ทั้งๆที่เขาสร้างผลงานที่ดีมาตลอด และหนนี้มันควรจะเป็นทีของเขาบ้างแล้ว ในขณะที่นักเตะชื่อดังรายอื่นๆอย่าง ซาดิโอ มาเน, เจมี วาร์ดี้ และจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็สมควรได้รับเช่นกัน ว่าแต่ทำไมตัวของ เดอ บรอยน์ ถึงควรค่าแก่การจะได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้มากที่สุดกันล่ะ เราจะต้องมาลองวิเคราะห์กันหน่อยแล้ว

เขาเป็นผู้เล่นที่มีผลงานสม่ำเสมอมากที่สุดในการเล่นตลอดทั้งฤดูกาล

ความจริงที่ว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีผลงานที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในช่วงฤดูกาลนี้ การจะป้องกันตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกของพวกเขาดูเหมือนกับว่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว พวกเขาพลาดไปหลายเกมจนแทบที่จะไม่มีลุ้นในพรีเมียร์ลีกแล้ว และตอนนี้พวกเขาเพิ่งจะได้ถ้วยแชมป์ คาราบาว คัพ ไปครองแค่ถ้วยเดียวเท่านั้น และถ้าหากว่าพวกเขาไม่สามารถเพิ่มถ้วยแชมป์อย่าง แชมเปี้ยนส์ลีก และถ้วย เอฟเอ คัพ ในฤดูกาลนี้เข้ามาเพิ่มได้ล่ะก็ มันคงจะเป็นฤดูกาลที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรเลยทีเดียว

และมีผู้เล่นของทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีผลงานการเล่นที่แสนจะสม่ำเสมอ และยังถือว่าเป็นนักเตะที่ไม่เคยมีผลงานที่ตกไป สามารถแบกทีมได้ และในบรรดาแข้งนักเตะซิตี้ คนที่อยู่ในข่ายนี้อย่างแน่นอนก็คือ เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพพระเอกรายนี้นั่นเอง กองกลางตัวรุกวัย 28 ปีเริ่มต้นการเล่นในฤดูกาลนี้ของเขาด้วยการทำไป 5 แอสซิสต์และยิง 1 ประตูจากการแข่งขันพรีเมียร์ลีก 4 นัดแรกเท่านั้น และจากนั้นเมื่อฟอร์มเจ้าตัวเริ่มเข้าที่มากกว่าเดิม เขาก็ค่อยๆร่ายฟอร์มการเล่นดุจเทวดาออกมาเรื่อยๆจนกลายเป็นจอมทำแอสซิสต์ที่เหนือกว่าใครในทีม

เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาตลอด ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมของเขาเองก็มีความสุขกับการที่พวกเขาสามารถมีลุ้นในการทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำจากการจ่ายบอลของเพลย์เมกเกอร์รายนี้ มิดฟิลด์ตัวรุกทีมชาติเบลเยียม เป็นผู้เล่น “เอาท์ฟิลด์” ที่ได้รับการประคบประงมจาก เป๊ป กวาดิโอลาร์ เทรนเนอร์ชาวคาตาลันเป็นอย่างมาก เพราะในสายตาของ เป๊ป ตัวของมิดฟิลด์รายนี้คือเสาหลักในเกมรุก โดยที่เป๊ปสร้างทีมชุดนี้ขึ้นมาโดยที่มี เดอ บรอยน์ เป็นศูนย์กลางของทีมโดยเฉพาะนั่นเอง

มิดฟิลด์รายนี้ ย้ายจาก โวล์ฟบวร์ก มาเล่นกับทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2016 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ เป๊ป ย้ายจากบาเยิร์น มิวนิค มาทำทีมเช่นกัน และทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างก็คุ้นเคยกันมาตั้งแต่มีโอกาสประฝีมือกันในเวทีบุนเดสลีกามาแล้วเช่นกัน กล่าวกันว่าถ้าหากตัวของ เดอ บรอยน์ ไม่มาเจอกับอาการบาดเจ็บไปในบางช่วงล่ะก็ ผลงานของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มันอาจจะออกมาดีกว่านี้ได้เช่นกัน ถ้าหากหยิบเอาความสม่ำเสมอในการเล่นที่ออกมามีผลงานที่ดีแบบนี้มาวัดกันล่ะก็ เดอ บรอยน์ มีโอกาสมากเช่นกันที่จะคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีไปครองในช่วงหลังจบซีซั่น

แอสซิสพุ่งตลอดเวลา

การแสดงผลงานของเขาในฤดูกาลนี้มันไปไกลกว่า “ระดับโลก” แล้ว

ด้วยการทำแอสซิสต์ถึง 16 ครั้งของเขา มันเลยประกันได้เลยว่าอย่างน้อยๆ เดอ บรอยน์ จะได้รับรางวัล เพลย์เมกเกอร์ยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลไปครองเป็นครั้งที่สองในรอบสามปี และก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะทำการกวาดรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีไปครองได้อีก ถ้าหากว่าเขายังไม่หยุดโชว์ฟอร์มโหดแบบนี้ แม้ว่าเขาอาจจะไม่ได้เป็นนักเตะที่ในสายตาของนักข่าวหรือนักวิจารณ์จะมองว่าเขาเป็นคนที่น่าเกรงขามเหมือนกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆของเขาที่จี๊ดจ๊าด ลูกเล่นแพรวพราว มีพลังในการทำประตู และยังใช้ชีวิตนอกสนามดูมีสีสันมากกว่าตัวของเขา แต่ก็ไม่สามารถเถียงได้เช่นกันว่าจอมทัพชาวเบลเยียมเป็นเพลย์เมกเกอร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกลูกหนังในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่อาจจะเป็นเพราะ คาแรคเตอร์ของจอมทัพรายนี้ที่เป็นคนนิ่งๆ ขรึมๆ ไม่ค่อยพูดนั่นเองที่ทำให้ตัวของเขาดูจะไม่ค่อยตกเป็นเป้าสนใจมากเท่าที่ควร

อันที่จริงถ้ามองดูสถิติของเขาเฉพาะในเรื่องการจังหวะให้เพื่อนทำประตูในลีก เขายังทำได้มากกว่า ลิโอเนล เมสซี่ จอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ของบาร์เซโลนาอีกด้วย โดยสถิติของเขาเริ่มเก็บมาตั้งแต่ระหว่างปี 2013 จนถึงปี 2018 มันแสดงให้เห็นถึงความสามารถของเขา และควรยกย่องฝีเท้าของมิดฟิลด์ตัวรุกรายนี้มากขึ้นจริงๆ สไตล์การเล่นของเพื่อนร่วมทีมที่พร้อมจะเล่นเกมรุก พร้อมจะทำประตู แถมพวกเขายังอยู่รอบตัวของ เดอ บรอยน์ ตลอดเช่นกัน มันทำให้เขามีความคิดที่สร้างสรรค์มากขึ้นว่าสมควรจะผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมคนไหน ถึงจะมีความหมายที่สุดนั่นเอง กองกลางแบบ เดอ บรอยน์ คือกองกลางที่สมบูรณ์แบบที่สุด และเป็นความฝันของโค้ชหลายคนที่จะมีเขาอยู่ในทีม

แม้ว่าเขาจะมีพลาดในการลงสนามไปบ้างในช่วงกลางฤดูกาลที่ผ่านมา เพราะเนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บที่เอ็นข้อเท้าของเขา แต่ว่าเจ้าตัวก็รีบเร่งความฟิตจนทำให้เพลย์เมกเกอร์รายนี้กลับมาอยู่ในฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดอีกครั้งในฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดันมีผลงานที่ตกต่ำไปในช่วงฤดูกาลนี้เพราะมีหลายนัดที่ตัวของเขาลงไม่ได้ แต่ก็ยังดีที่ว่าพอเจ้าตัวค่อยๆเรียกความฟิตกลับมาได้ เขาก็ช่วยทีมได้ในหลายครั้ง เขาเกือบทำลายอาร์เซนอลทั้งทีมได้ด้วยตัวเขาเองคนเดียว เพราะชัยชนะ 3-0 ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมานั้น เขาจัดการทำคนเดียว 2 ประตูและอีก 1 แอสซิสต์ตั้งแต่ใน 40 นาทีแรก และเกือบจะทำแฮททริกได้ด้วย แต่เขาดันยิงไปติดเซฟของ แบรนด์ เลโน มือกาวของอาร์เซนอล

เขาเล่นได้อย่างโดดเด่นในเกมที่เอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสกอร์ 4-0 ในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา และการแสดงผลงานของเขามันก็ทำให้เขาได้รับคำชมจากผู้เชี่ยวชาญด้านฟุตบอล และรวมถึงแฟนบอลด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากปากของ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ที่เรียกเขาว่าเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดในโลก และยังเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกด้วย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยทีเดียว เมื่อเราดูสถิติทางตัวเลขของเขา ด้วยสถิติการทำแอสซิสต์ 16 ครั้งของเขา ทำให้เขารั้งตำแหน่งนักเตะที่เปิดบอลให้เพื่อนยิงได้มากที่ที่สุด และตอนนี้ก็เหลืออีก 11 นัดเท่านั้นที่ลีกจะจบฤดูกาล เขาอาจจะมีลุ้นทำลายสถิติแอสซิสต์ 20 ครั้งในฤดูกาลเดียวของ เธียร์รี่ อองรี ลงได้เช่นกัน

ถึงเวลาที่ผู้เล่นของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะได้รางวัลทรงเกียรตินี้บ้างแล้ว!

ในทศวรรษที่ผ่านมาไม่มีสโมสรแห่งไหนอีกแล้วที่จะสร้างปรากฏการณ์ที่โดดเด่นในพรีเมียร์ลีกได้เท่ากับทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะแค่เรื่องความสำเร็จทั้งหมดของพวกเขาที่มีแชมป์มากมายก็นับว่ามากกว่าชาวบ้านชาวช่องแล้ว นับตั้งแต่วันที่ เซร์คิโอ อเกวโร ทำประตูชัยที่น่าทึ่งในปี 2012 ส่งผลให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2011-12 ไปครองนั้น มันทำให้พวกเขาเติบโตมากขึ้น มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ในช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมา หรือถ้านับเป็นจำนวนเลข 2 หลักก็คือในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้นั้น พวกเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้มากกว่าใครเลยคือ 4 ครั้ง ยิ่งในฤดูกาล 2018-19 ที่พวกเขากวาดแชมป์ทั้งหมดทุกรายการในเกาะอังกฤษได้ทั้งหมด มันก็สมควรแล้วที่พวกเขาจะได้รับการยกย่อง

ในเมื่อทีมเด่นขนาดนี้ แล้วนักเตะที่เด่นอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ ถ้าเขาจะพลาดรายการนี้มันก็คงจะใจร้ายเกินไป !

หงส์แดง ยังรั้งจ่าฝูงได้อีก 1 สัปดาห์

สำหรับเกมวันเสาร์พรีเมียร์ลีกอังกฤษ หงส์แดงได้ประเดิมลงสนามเป็นคู่แรกโดยพบกับเชฟฟิลด์ยูไนเต็ดซึ่งผลการแข่งขันนั้นหงส์แดงบุกไปชนะด้วยสกอร์ 0 ต่อ 1 และทำให้ตอนนี้พวกเขารั้งอันดับที่ 1 ของตารางได้อีก 1 สัปดาห์ แม้ารูปเกมอาจจะไม่ประทับใจแฟนบอลสักเท่าไหร่ 

เพราะดูเหมือนกองหน้าวันนี้จะทำผลงานกันได้ไม่ดี และในช่วงหลังก็โดนเจ้าบ้านบุกระหน่ำอยู่พอสมควรแต่ก็เป็นเกมที่สนุก และผลการแข่งขันก็ถือว่าลิเวอร์พูล ยังรักษาสถิติไม่เสมอและไม่แพ้ใครจาก 7 นัดทำให้มี 21 คะแนนเต็มในตอน นี้ก็ถือว่าพวกเขายังรักษาระดับความห่างของจากอันดับที่ 2 เอาไว้ได้แต่ก็ต้องดูกันว่าได้สัปดาห์หน้านั้นจะยังสามารถทำสถิติชนะติดต่อกันได้อีกหรือไม่ 

และดูเหมือนเกมนี้จะได้เห็นแผนการณ์เล่นที่หลากหลายในการเข้าทำมากขึ้น แม้ว่าช่วงท้ายๆ ทีมเยือนจะเน้นการตั้งรับมากกว่าเดิม เพราะเจ้าบ้านนั้นเรียกได้ว่าสู้ตาย ทำให้ในช่วงท้ายคลอป์ป ต้องเปลี่ยนตัวเน้นเกมรับเพื่อยันสกอร์ แต่ก็ถือว่านั่นเป็นปัญหาที่ต้องแก้สำหรับกองหน้าที่ฟอร์มดูจะไม่สม่ำเสมอนัก 

คล็อปป์ เผยฝันเป็นจริงหลังพา หงส์แดง ทะยานลุ้นแชมป์ใหญ่ซีซั่นนี้

คล็อปป์ เผยฝันเป็นจริงหลังพา หงส์แดง ทะยานลุ้นแชมป์ใหญ่ซีซั่นนี้

เยอร์เก้น คล็อปป์ กล่าวว่าเขากำลังใช้ความฝันที่มีสร้าง ลิเวอร์พูล ให้ยิ่งใหญ่ด้วยการมีลุ้นแชมป์ในการสำคัญในซีซั่นนี้ โดยใน พรีเมียร์ลีก ทีม หงส์แดง สามารถรั้งตำแหน่งจ่าฝูง มีคะแนนเหนือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ 2 คะแนนจากการลงเล่นมากกว่า 33 นัด และในฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก พวกเขากำลังจะพบกับ ปอร์โต้ ในรอบควอเตอร์ไฟนอล

นายใหญ่ชาวเยอรมัน กล่าวว่าในซีซั่นนี้เขามีความสุขมากกว่าซีซันที่แล้ว เมื่อสามารถพาทีมก้าวขึ้นมาลุ้นแชมป์ได้อย่างเต็มตัว และหวังว่าพวกเขาจะสามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศใน แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อีกครั้ง

“ตอนที่ผมยังเป็นผู้จัดการทีมในวัยหนุ่มนั้น ผมฝันอยู่เสมอว่าจะได้คุมทีมที่มีนักเตะระดับเวิลด์คลาส และมีทัศนคติที่เหมาะจะเป็นแชมป์รายการใหญ่ นั่นคือสิ่งที่ผมรักอย่างแท้จริง และเราก็ได้แสดงมันออกมา โดยเฉพาะในการลงเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก เราทุกคนรู้ดีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าลูกทีมกับผมสามารถเป็นแชมป์ได้ ซึ่งมันจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไปโดยสิ้นเชิง”

“แต่ ณ เวลานี้เราไม่ควรจะคิดถึงมัน ในฐานะสโมสรและทีมพร้อมด้วยบรรดาแฟนบอล เราควรที่จะมีความสุขกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เพราะมันเป็นอะไรที่แตกต่างจากซีซั่นที่แล้วมาก เมื่อปีที่แล้วเราได้รับแรงกดดันอย่างมากในช่วงท้ายฤดูกาล โดยตอนนั้น เชลซี สามารถไล่เก็บแต้มได้เป็นกอบเป็นกำ ในขณะที่เราทำได้เพียงแค่เสมอกับคู่แข่ง หลังจากที่เคยนำห่างพวกเขาอยู่ 10 แต้ม แต่ในท้ายที่สุดแล้วเราก็เอาชนะได้ในเกมสุดท้ายอีกครั้ง และสามารถผ่านเข้าสู่ แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มได้”

“แต่สำหรับฤดูกาลนี้เราได้มีก้าวที่ยิ่งใหญ่ในการเล่นใน พรีเมียร์ลีก เรากำลังมีลุ้นแชมป์ซึ่งยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครจะสามารถคว้าแชมป์ได้ โดยเมื่อมองย้อนกลับไปในซีซันที่ผ่านมา เราทำได้เพียง 60 กว่าคะแนนและต้องต่อสู้กับอีก 5 ทีมนอกจาก แมนซิตี้ เพื่อลุ้นอันดับท็อปโฟร์ มันเป็นอะไรที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมชอบซีซั่นนี้มาก” คล็อปป์ กล่าว

คล็อปป์ เผยฝันเป็นจริงหลังพา หงส์แดง ทะยานลุ้นแชมป์ใหญ่